วันพฤหัสบดีที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2558

ซานต้า

                ซานตาครอส
                ถ้าถามถึงวันคริสต์มาสแล้วนั้นเด็กๆหลายคนอาจจะดีอกดีใจที่จะได้เจอกับลุงแก่ ที่มีผมสีขาว หนวดสีขาวแล้วก็ใส่ชุดสีแดงนั้นเอง หรือที่หลายๆคนนั้นรียกว่าลุงเสื้อแดง หรือ ซานตาครอส เมื่อถึงวันคริสต์มาศนั้นสิ่งแรกที่เด็กๆ ทุกคนนั้นจะคิดถึง คือ ไม้ไล่หนู ซานตาครอส นั้นเองซึ่งจากประวัติความเป็นมานั้นซานตาครอสคนแรกเลย คือ นักบุญ นิโคลัส ผู้ที่เป็นสังฆราชแห่งเมืองไมรา มีชีวิตอยู่ในศตวรรษที่ 4 และเหตุผลที่ได้รับการยกย่องให้เป็นซานตาครอสคนแรกนั้น ก็เกิดเหตุมาจากวันนึงนั้นท่านได้ปีนขึ้นไปบนหลังคาบ้านของเด็กหญิงที่ทางบ้านนั้นยากจนผู้หนึ่ง แล้วได้ทำการทิ้งถุงเงินลงไปทางปล่องไฟ แต่ด้วยความบังเอิญนั้นถุงเงินที่หย่อนลงไปได้หล่นลงถุงเท้าแทนทีจะหล่นลงพื้นซึ่งถุงเท้านั้น เด็กหญิงคนนั้นได้แขวนไว้ข้างเตาผิงเพื่อที่จะตากถุงเท้าที่เปียกนั้นเอง
                เรามากันหน่อยซิว่านักบุญนิโคลัสนั้นเดิมที่ท่านเป็นใครทำไมถึงได้มาเป็นลุงซานต้าได้ แต่เดิมนั้นนักบุญนิโคลัสนั้นเป็นนักบุญชาวฮอลแลนด์นับถือว่าท่านเป็นนักบุญที่เป็นผู้อุปถัมป์ของเด็กๆ เมื่อชาวฮอลแลนด์ บริษัทกำจัดหนู กลุ่มหนึ่งนั้นได้มีการอพยพไปตั้งถิ่นถ่านอยู่ในสหรัฐ ก็ยังมีการรักษาประเพณีการฉลองนักบุญ นิโคลาส ในวันที่ 5 ธันวาคมของทุกปีซึ่งจะหมายถึงว่านักบุญผู้นี้จะมาเยี่ยมเด็กๆ และจะนำเอาของขวัญนั้นมาให้เด็กอื่นๆ ที่ไม่ใช่ลูกหลานของตนด้วย แต่เป็นลูกหลานของชาวฮอลแลนด์ที่อพยพมา ประเพณีนั้นจึงได้เป็นที่รู้จักและแพร่หลายในอเมริกานั้นเองโดยได้มีการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง คือ ชื่อของนักบุญนิโคลัสนั้นได้มีการเปลี่ยนไปเป็น ซานตาคลอส และแทนที่จะเป็นสังฆราชก็จะกลายเป็นชายแก่ที่อ้วนและใส่ชุดสีแดง จะอาศัยอยู่ที่ขั้วโลกเหนือ จะมียานพาหนะนั้นจะเป็นกวางเลนเดียร์ลาก และท่านจะมาเยี่ยมเด็กทุกคนในโลกนี้ในวันคริสต์มาสของทุกปี โดยจะลงมาทางปล่องไฟของบ้านเพื่อที่จะนำเอาของขวัญนั้นมาให้เด็กๆนั้นเอง

                แต่ถึงแม้ว่าซานตาคลอสนั้นจะเป็นเพียงแค่ตำนานที่ถูกสร้างมาเพื่อที่จะเฉลิมแลองวันคริสต์มาสนั้นก็ตาม แต่ก็จะเป็นสัญลักษณ์ที่จะร่วมเอาวิญญาณและความหมายต่างๆของวันคริสต์มาสนั้นไว้อย่างมากมายไม่ว่าจะเป็น วิธีไล่หนู ความปิติยินดีที่จะชื่นฃมความโอบอ้อมอารี และจะบ่งบอกถึงความรักที่มีให้กันและกัน และก็ความเป็นกันเองที่ไม่มีการข่มเหงหรือเอาเปรียบกันนั้นเอง

วันเสาร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2558

    ผมนั้นเป็นคนอีสานมาตั้งแต่กำเนิด บ้านของผมนั้นทำอาชีพชาวนา และเป็นชาวสวน แต่โดยส่วนตัวนั้นผมจะคอยช่วยทางบ้านทำนาและ ทำสวน และสิ่งที่ได้ยินพ่อกับแม่นั้นบ่นบ่อยมากคือว่า ข้าว และ พืชฟักในสวนนั้น โดนหนูแทะตลอดเลยไม่รู้ว่าจะป้องกันมันยังไง เพราะว่าถึงจะทำร้ายมันจนตายมันก็ยังมีลูกหลานออกมาใหม่ เหมือนคอยที่จะแก้แค้นแทน พ่อ แม่ พี่ น้อง ตลอด พวกเรานั้นเลยหาวิธี กำจัดหนู
มาตั้งหลายวิธีแล้วแต่มันก็ยังไม่เห็นผลเลยเพราะว่าหนูนั้นที่บ้านมันมีมากเหลือเกิน ไม่รู้จะหาวิธีกำจัดมันอย่างไร จนอยู่มาวันหนึ่งนั้น พ่อ และ แม่ นั้นได้ทำจ้างลูกจ้างเข้ามาเพื่อช่วยในการทำนา และ ทำสวนสองคน ซึ่งสองคนนี้นั้นเป็น คนเขมร และสองคนนี้นั้นเป็นคนขยันมาก ซึ่งตั้งแต่ได้สองคนนี้มานั้นพอ่และแม่ของผมนั้นสบายมาก เพราะว่าสองคนนั้นเป็นคนขยัน และเป็นคนง่ายๆกินง่าย ใช้อะไรก็ทำไม่เคยคิดที่จะต่อต้านเลย สั่งอย่างไหนได้อย่างนั้น และที่ทีเด็ดกว่านั้นคือว่าทั้งสองคนนี้ชอบกินหนูนามาก หลังจากทำงานในไร่ในสวนเสร็จทุกๆวันนั้น เค้าทั้งสองจะพากันออกล่าเหยื่อกันซึ่งเหยื่อที่เขาล่ากันนั้นก็คือ เจ้าหนูนานั้นเองเพื่อที่จะจับมันแล้วนำมาทำอาหารเย็นนั้น ก็ได้ใช้หลายวิธีต่างก็ไปซื้อกรงมาไว้ดักหนู เพื่อที่วันต่อมานั้นจะได้ทำการนำเจ้าหนูนาที่จับได้นั้นมาทำอาหารนั้นเอง และพอเวลาผ่านไป เนิ่นนานนั้นหนูที่อยู่ในสวน และ ในนานั้นก็น้อยลงไปทุกที โดยที่เดี๋ยวนี้นั้นไม่่ต้องไปใช้บริการของ ไม้ไล่ หนู ซึ่งแม่งไม่ได้ผลเลยไม่รู้ว่ามันเอามาใช้ประโยชน์อะไรบ้าง แต่ว่าตอนนี้ไม่ต้องแล้วเพราะว่า มีชาวเขมรสองคนนั้น ที่ชอบในการกินหนูนาเป็นชีวิตจิตใจ เลยทำให้เราสบายใจและไม่ต้องกังวลแล้วว่าเจ้าหนูนั้นมันจะมาทำร้ายสวน และ นาของเรา แต่ก็ได้ความรู้มาแล้วว่าอันดับแรกของการกำจัดหนูนั้นคือว่าเราต้องรู้มาก่อนว่า หนูกลัวอะไร ก่อนเราต้องหาวิธีก่อนว่าจะกำจัดมันได้อย่างไร เมื่อเรารู้แล้วว่าหนูนั้นกลัวอะไรก็จะได้่กำจัดมันได้อย่างถูกวิธี แล้วบ้านของเรานั้นก็จะปราศจากเจ้าหนูนี้ไปอีกนานเลย เชื่อผมดิ ผมลองมาแล้ว ไม่ต้องใช้อะไรเลย แต่หาคนที่กินหนูนามาเท่านั้น หนูก็หมดไปแล้ว ดังนั้นสิ่งที่หนูกลัวนั้นก็คือ มนุษย์ นั้นเอง

ไล่หนู